ท่ามกลางผืนน้ำทะเลสาบสงขลาตอนบน “นาริมเล” บ้านปากประ จังหวัดพัทลุง มรดกภูมิปัญญาการทำนาในทะเล ที่สืบทอดกันมากว่า 200 ปี หนึ่งเดียวในประเทศไทย ที่ผสานวิถีชีวิตกับธรรมชาติอย่างกลมกลืน จากบันทึกประวัติศาสตร์สู่การฟื้นคืนด้วยงานวิจัยสมัยใหม่ นาริมเลวันนี้ไม่เพียงเป็นแหล่งผลิตข้าวอินทรีย์คุณภาพ หากยังเป็นสัญลักษณ์ของอัตลักษณ์ชุมชน ความภาคภูมิใจ และการพัฒนาอย่างยั่งยืนบนฐานองค์ความรู้ร่วมกับผู้คนในชุมชน

กว่า 200 ปีมาแล้ว ที่ชาวบ้านปากประ จังหวัดพัทลุง ส่งต่อ “มรดก” อันทรงคุณค่าที่ประเมินมูลค่าไม่ได้—ไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทอง หากคือภูมิปัญญาการทำนาแบบดั้งเดิมที่อยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างกลมกลืน จนก่อเกิดอัตลักษณ์ทางการเกษตรที่หาไม่ได้จากที่อื่นในประเทศไทย นั่นคือ “นาริมเล” การปลูกข้าวบนพื้นที่ชายฝั่งทะเลสาบสงขลาตอนบน ซึ่งมีบันทึกยืนยันจากพระราชหัตถเลขารัชกาลที่ 5 ว่ามีการทำนาในทะเลมาตั้งแต่โบราณ

“ครั้งหนึ่งนาริมเลมีพื้นที่ปลูกกว่า 500 ไร่ แต่ด้วยข้อจำกัดของสายพันธุ์ข้าวยุคก่อนที่ไม่ทนต่อสภาพน้ำท่วมขังจากฝนตกชุก และให้ผลผลิตต่ำ ชาวบ้านจึงจำใจละทิ้งพื้นที่ทำกิน กระทั่งปัจจุบันเหลือนาริมเลเพียง 63 ไร่เท่านั้น” คุณสายัณ รักดำ ประธานวิสาหกิจชุมชน กลุ่มทำนาริมเลบ้านปากประ ตำบลลำปำ จังหวัดพัทลุง กล่าว
อย่างไรก็ตาม คุณค่าทางวัฒนธรรม ความเป็นมรดกยาวนาน และสายใยระหว่างคนกับทะเลไม่เคยหายไป ทีมนักวิจัยมหาวิทยาลัยทักษิณจึงเข้ามาร่วม “กอบกู้” ภูมิปัญญาแห่งท้องถิ่นนี้ ผ่านงานวิจัยด้วยการทดลองสายพันธุ์ข้าวที่สามารถทนต่อน้ำเค็ม น้ำกร่อย มีอายุเก็บเกี่ยวสั้น และให้ผลผลิตสูงขึ้น จนได้สายพันธุ์ที่เหมาะสม ได้แก่ กข43 และ หอมนาเล ซึ่งยังคงเอกลักษณ์ความหอม นุ่ม และปลูกแบบอินทรีย์ 100% อาศัยเพียงธาตุอาหารจากตะกอนชายฝั่งโดยไม่ใช้สารเคมีใด ๆ และสามารถให้ผลผลิตถึง 700-800 กิโลกรัมต่อไร่


“ข้าวกข43 อายุเก็บเกี่ยวสั้นเพียง 95 วัน เหนียวนุ่ม มีกลิ่นหอมอ่อน ทนทานโรคไหม้และเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลได้ดี เหมาะกับพื้นที่นาชลประทาน หรือพื้นที่ที่มีน้ำท่วมขังช่วงสั้น มีดัชนีน้ำตาลต่ำ-ปานกลาง ย่อยช้า เหมาะกับคนรักสุขภาพ ส่วนข้าวหอมนาริมเล สามารถทนต่อน้ำท่วมฉับพลันได้นานถึง 12 วัน ทนต่อสภาพน้ำเค็มกึ่งกร่อยได้ดีกว่าสายพันธุ์ทั่วไป และทนทานต่อโรคขอบใบแห้งและเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล” ผศ. ดร. นันทิยา พนมจันทร์ กล่าว
การทำนาริมเลทำได้เฉพาะปีละครั้งเท่านั้น ต้องอิงตามระดับน้ำทะเลตามฤดูกาล ตั้งแต่ตกกล้าในเดือนพฤษภาคม ปักดำเดือนมิถุนายน และเก็บเกี่ยวปลายเดือนกันยายน ทำให้ข้าวนาริมเลกลายเป็นผลผลิตพิเศษ ปริมาณจำกัด และมีคุณค่าในเชิงนิเวศ เพราะเป็นส่วนหนึ่งของแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำชายฝั่งที่สมบูรณ์


ทุกวันนี้ นาริมเลไม่เพียงเป็นพื้นที่เกษตรดั้งเดิม แต่ยังพัฒนาเป็นแหล่งเรียนรู้และท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ นักท่องเที่ยวสามารถลงมือทดลองทำนา เก็บเกี่ยวด้วย “แกระ” เครื่องมือพื้นบ้าน หรือกางเต็นท์ริมทุ่งนาที่ทอดตัวเคียงทะเลสาบเพื่อสัมผัสวิถีชีวิตอันสงบและงดงาม
นาริมเลจึงเป็นมากกว่าพื้นนา มันคือความภาคภูมิใจของคนบ้านปากประ พัทลุง คือความผูกพันระหว่างคน—ข้าว—ทะเล เป็นมรดกที่กำลังก้าวไปสู่อนาคตอย่างยั่งยืนด้วยพลังของชุมชนและองค์ความรู้จากงานวิจัยมหาวิทยาลัย
..........................................
บทความโดย งานสื่อสารองค์กร มหาวิทยาลัยทักษิณ